Image Image Image Image Image Image Image Image Image Image

Kawizara | May 6, 2024

Scroll to top

Top

No Comments

Mind over disability ; แขนเทียมที่สั่งงานได้ด้วยความคิด

Mind over disability ; แขนเทียมที่สั่งงานได้ด้วยความคิด
kawizara

ก่อนหน้านี้เราเคยพูดถึงเรื่องของ AI และความหวาดกลัวของผู้คนว่าหากมันก้าวหน้ามากจนเกินไปอาจจะเข้ามาครอบงำชีวิตของเรา แต่ในอีกด้านหนึ่งการพัฒนา AI ก็ทำให้เราได้เห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ อย่างล่าสุดมหาวิทยาลัย Johns Hopkins ได้คิดค้นแขนเทียมสุดล้ำที่ผู้สวมใส่สามารถควบคุมได้เพียงแค่คิดเท่านั้น!

ln5lq-no-arms

แขนเทียมนี้ช่วยให้ Les Baugh หนึ่งในอาสาสมัครผู้เข้าร่วมโครงการที่สูญเสียแขนทั้งสองข้างในอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นได้หยิบจับสิ่งต่างๆ อีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้าเข้าร่วมโครงการนี้เขาต้องไปผ่าตัดเชื่อมต่อและย้ายเส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวส่วนแขนมาใส่ไว้ที่โคนแขนที่เหลือเสียก่อน จากนั้นจึงมาลองใส่แขนเทียมซึ่งเป็นแบบสวม สามารถถอดเข้า-ออกได้ ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีการผ่าตัดเพื่อยึดแขนไว้เลย

ส่วนหลักการทำงานคือเมื่อผู้ใช้งานคิดว่าจะขยับแขนอย่างไรสัญญาณคลื่นสมองนี้ก็จะถูกส่งไปที่ปลายเส้นประสาทที่โคนแขนและไปยังส่วนของแขนเทียมที่สัมผัสที่เส้นประสาทก่อนจะทำงานตามคำสั่งนั้นๆ ซึ่งในขั้นตอนนี้เองก็ต้องอาศัยการฝึกฝนและความคุ้นชินในการใช้งานด้วยเช่นกัน นอกจากนี้แล้วผู้ใช้งานยังสามารถรับรู้ความรู้สึกบางอย่างผ่านทางปลายเส้นประสาทที่ติดอยู่กับแขนเทียมได้ด้วย อย่างเช่น สามารถรู้ถึงผิวสัมผัสวัตถุได้ เป็นต้น

APL_limbs

โดยแขนเทียมเหล่านี้จะถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับผู้ใช้งานแต่ละคนโดยเฉพาะ เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการที่แตกต่างกันได้ ไม่ว่าจะใช้แทนแค่มือหรือทั้งแขน ซึ่งนอกจากจะใช้กับผู้ที่สูญเสียอวัยวะจากอุบัติเหตุแล้วก็ยังสามารถใช้ในกรณีของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่เป็นอัมพาตได้อีกด้วย

amputee-arms

โปรเจคนี้นอกจากจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีความบกพร่องทางร่ายกายแล้วยังช่วยให้เรามองเห็นวิธีการและความเป็นไปได้ใหม่ๆ ของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปมาก ซึ่งอาจจะนำไปสู่การประยุกต์ใช้ในด้านอื่นๆ ต่อไปได้ และตอนนี้ทางทีมผู้พัฒนาเขาก็บอกว่าแม้จะยังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาแต่ก็คาดว่าภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้านี้เราคงจะได้เห็นแขนเทียมไอเดียล้ำวางขายจริงแล้วหละค่ะ

 

Source : nytimes

comments